CEO ทั่วโลกมองการทำธุรกิจในอีก 3 ปีข้างหน้าเป็นเชิงบวก พร้อมทั้งเตรียมพร้อมรื้อถอนแนวคิดเดิมๆ

CEO ทั่วโลกมองการทำธุรกิจในอีก 3 ปีข้างหน้าเป็นเชิงบวก

ผลสำรวจของเคพีเอ็มจีพบว่า 65% ของ CEO จากทั่วโลกมั่นใจในการทำธุรกิจ แม้เศรษฐกิจโลกจะไม่แน่นอน

1000

วันนี้เคพีเอ็มจี อินเตอร์เนชั่นแนล ได้เผยแพร่ผลสำรวจ 2017 Global CEO Outlook ซึ่งเกิดจากการสัมภาษณ์เชิงลึกกับ CEO ของบริษัทชั้นนำทั่วโลกเกือบ 1,300 ราย การวิจัยในปีนี้พบว่า 65% ของ CEO มองปัจจัยที่ก่อให้เกิดการรื้อถอนแนวความคิดเดิม (disruptive forces) เป็นโอกาสทางการก้าวหน้า ไม่ใช่ภัยคุกคามต่อธุรกิจ โดยภาพรวมแล้ว CEO ต่างยังมั่นใจในแนวโน้มเศรษฐกิจโลก ถึงแม้ว่าความมั่นใจดังกล่าวจะลดน้อยลงจากการสำรวจปีที่แล้ว ซึ่งก็คือ 65% ในปีนี้เมือเทียบกับ 80% ในปีที่แล้ว

 

“การทำลายวิธีคิดเดิมๆ หรือ disruption ได้กลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับ CEO ในการจัดการกับความไม่แน่นอนทางธุรกิจที่เพิ่มมากขึ้น” จอห์น วีไมเออร์, ประธานบริษัทเคพีเอ็มจี กล่าว “แต่สิ่งที่สำคัญคือ พวกเขามองเห็น disruption เป็นโอกาสในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการทำรายได้ของธุรกิจ (business model)  ในการพัฒนาสินค้าและบริการใหม่ๆ รวมถึงการเปลี่ยนรูปธุรกิจให้ประสบผลสำเร็จกว่าเดิม ปัจจุบันท่ามกลางสิ่งท้าทายและความไม่แน่นอนใหม่ๆ นั้น เหล่า CEO ต่างรู้สึกถึงความจำเป็นในการทำลายวิธีคิดเดิมๆ เพื่อการเติบโต (‘Disrupt and grow’)”

ประเด็นสำคัญจากผลสำรวจ 2017 Global CEO Outlook ของเคพีเอ็มจี

ผลสำรวจ 2017 Global CEO Outlook ของเคพีเอ็มจี ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความเห็นของ CEO เกี่ยวกับการคาดการณ์การเติบโตทางธุรกิจ ความท้ายทายที่ต้องเผชิญ และกลยุทธ์ในการวัดผลสำเร็จองค์กรในอีก 3 ปีข้างหน้า ซึ่งประเด็นสำคัญที่พบคือ:

  • ในปีพ.ศ. 2560 นี้ CEO ยังคงต่างมั่นใจในแนวโน้มเศรษฐกิจโลก (65%) แต่ความมั่นใจดังกล่าวลดลงจากปีที่แล้ว (80%)
  • CEO มากกว่า 6 ใน 10  (65%) มอง disruption เป็นโอกาสทางธุรกิจไม่ใช่ภัยคุกคาม นอกจากนี้ CEO 3 ใน 4 (74%) กล่าวว่าต้องการทำให้องค์กรตัวเองเป็น disruptor ในอุตสาหกรรมตนเอง
  • CEO มากกว่า 8 ใน 10 (83%) มั่นใจในการเติบโตขององค์กรในอีก 3 ปีข้างหน้า โดยครึ่งหนึ่ง (47%) บอกว่ามั่นใจมาก
  • เกือบ 7 ใน 10 (68%) บอกว่าตนเองกำลังพัฒนาความเชี่ยวชาญและคุณลักษณะส่วนบุคคล (personal qualities) เพื่อจะได้เป็นผู้นำที่ดีกว่าเดิม
  • ในขณะที่ธุรกิจนำ Cognitive technologies เข้ามาปรับใช้ CEO คาดการณ์ว่าในระยะสั้นจะมีการเพิ่มปริมาณพนักงาน ซึ่ง CEO 58% คาดว่าจะมีการเพิ่มขึ้นของพนักงานไม่มากก็น้อยใน 10 บทบาทหน้าที่หลักด้วยกัน
  • เกือบครึ่งของ CEO (45%) กล่าวว่าการเข้าใจความต้องการของลูกค้าไม่สามารถทำได้เต็มที่เนื่องจากขาดข้อมูลที่มีคุณภาพ มากกว่าครึ่ง (56%) มีความกังวลเกี่ยวกับข้อมูลที่ตนได้รับสำหรับการใช้ประกอบการตัดสินใจ

 

“CEO ต่างเข้าใจว่าความรวดเร็วในการตอบสนองทางธุรกิจ และความก้าวหน้าทางนวัตกรรมต่างเป็นกลยุทธ์สำคัญสำหรับการเติบโตภายใต้สภาวะที่ไม่แน่นอน” วีไมเออร์กล่าว “ในขณะเดียวกัน CEO ต่างคำนึงถึงแนวการปฏิบัติจริงในการจัดการความไม่แน่นอน ซึ่งรวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับธุรกิจในตลาดที่มีความมั่นคงอยู่แล้ว เพื่อเป็นการรองรับความเสี่ยงในการขยายธุรกิจไปในตลาดใหม่ที่มีโอกาสเติบโต”

การเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์

การสำรวจประจำปีของเคพีเอ็มจี อินเตอร์เนชั่นแนล พบว่า CEO จำนวนมากจากเกือบ 1,300 คนใน 10 ประเทศและ 11 อุตสาหกรรมให้ความสำคัญกับความท้าทายทางภูมิรัฐศาสตร์

  • 43% ของ CEO ที่ถูกสำรวจกำลังพิจารณาแนวทางขององค์กรเนื่องจากผลกระทบของโลกาภิวัตน์และการคุ้มครองทางการค้า 
  • 52% เชื่อว่าบรรยากาศทางการเมืองส่งผลกระทบต่อองค์กรมากกว่าที่ผ่านมา 
  • 31% คิดว่าการคุ้มครองทางการค้าจะมีเพิ่มมากขึ้นในประเทศตนเองในอีก 3 ปีข้างหน้า  

การเปลี่ยนแปลงทางสภาวะการทำธุรกิจ

หนึ่งในผลสำรวจที่ต่างจากปีที่แล้วและน่าสนใจเป็นอย่างยิ่งคือมีอัตรา CEO มากขึ้นที่มองว่าความเสี่ยงทางชื่อเสี่ยงและ brand เป็นสิ่งที่ต้องระวังเป็นพิเศษ ซึ่งถือว่าเป็นความเสี่ยงอันดับสาม (จากทั้งหมด 16) แม้ว่าความเสี่ยงนี้จะไม่ติดอันดับหนึ่งในสิบจากผลสำรวจปีที่แล้ว นอกจากนี้ CEO ยังเล็งเห็นว่าความเสี่ยงทางชื่อเสียงและ brand มีโอกาสส่งผลกระทบเป็นอันดับสองต่อการเติบโตของบริษัทในอีก 3 ปีข้างหน้า ซึ่งในปี พ.ศ. 2559 ความเสี่ยงด้านนี้ถูกจัดให้อยู่เพียงอันดับ 7 

 

ในปี พ.ศ. 2559 ความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cyber security) ถูกจัดให้เป็นความเสี่ยงอันดับ 1 ขององค์กร อย่างไรก็ตามในปีนี้ความเสี่ยงทาง cyber security อยู่เพียงอันดับ 5 (จากทั้งหมด 16 อันดับ) ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเหตุจากการที่ CEO ประเมินความก้าวหน้าขององค์กรทางด้านการจัดการความเสี่ยงทางด้านไซเบอร์ ปัจจุบัน CEO 4 ใน 10 ราย (42%) มองว่าพวกเขารู้สึกพร้อมที่จะรับมือกับเหตุการณ์ทางไซเบอร์ ซึ่งเป็นปริมาณที่เพิ่มขึ้นมาจาก 25% ในปีพ.ศ. 2559

 

“การสำรวจครั้งนี้เสร็จสิ้นลงก่อนการโจมตีที่ผ่านมาของ ransomware Wannacry ซึ่งเป็นข้อบ่งชี้ว่าองค์กรจำเป็นต้องตื่นตัวและกระตือรือร้น เรื่อง cyber security อยู่เสมอ” คุณวินิจ ศิลามงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เคพีเอ็มจีประเทศไทยกล่าว “การที่จะป้องกันและจัดการกับการโจมตีทางไซเบอร์อย่างมีประสิทธิภาพได้นั้น องค์กรจำเป็นต้องคำนึงถึงการเพิ่มขีดความสามารถขององค์กรในสามด้านไปพร้อมๆ กันคือ ประสิทธิภาพของคน ระบบ และเทคโนโลยี” 

ความท้าทายทางเทคโนโลยี: ศึกการแย่งชิงบุคลากรที่มีความสามารถ

โดยเฉลี่ยแล้ว 58% ของ CEO มองว่า cognitive technology จะส่งผลให้มีความต้องการทางบุคลากรใน 10 สายงานเพิ่มขึ้นในอนาคตอันใกล้ ในขณะที่ 32% คิดว่าการเติบโตขององค์กรทางด้านบุคลากรจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่มันก็เป็นการสื่อให้เห็นว่าบุคคลากรที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางจะเป็นที่ต้องการ อย่างน้อยก็ในระยะแรกเริ่มของการปรับใช้เทคโนโลยี ในอีกแง่หนึ่งก็ตีความได้ว่า CEO มองว่าประสบการณ์ลูกค้า จะเป็นตัวผลักดันให้มีการนำ cognitive technology เข้ามาปรับใช้ ไม่ใช่การมุ่งเพื่อลดจำนวนพนักงาน นอกจากนี้การดึงดูดบุคคลากรที่มีความสามารถเฉพาะทางสูงเป็นสิ่งที่ CEO มองว่าเป็นเรื่องท้าทายที่สุดในการนำ cognitive technology มาใช้ในองค์กร โดยทั่วไปแล้ว CEO มองว่าจำนวนบุคลากรในองค์กรจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ในอัตราที่ช้ากว่าในปี พ.ศ. 2559 จากผลสำรวจปีที่แล้วพบว่า CEO 73% คาดการณ์ว่าจำนวนบุคลากรจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 6% ในอีก 3 ปีข้างหน้า แต่ในปี พ.ศ. 2560 CEO น้อยกว่าครึ่ง (47%) มองว่าจะมีการเติบโตทางองค์กรในอัตราดังกล่าว

 

ในขณะเดียวกับที่ CEO ต่างให้ความสำคัญไปกับการเปลี่ยนแปลงธุรกิจ พวกเขาก็ต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงบทบาทตัวเองด้วย 70% ของ CEO กล่าวว่าพวกเขาพร้อมเปิดกว้างที่จะรับปัจจัยการเปลี่ยนแปลงและความร่วมมือใหม่ๆ

ความเชื่อใจ

ท่ามกลางบรรยากาศการทำธุรกิจที่โปร่งใสมากขึ้น CEO 3 ใน 4 คน (74%) กล่าวว่าองค์กรของพวกเขาให้ความสำคัญกับความเชื่อใจ คุณค่า และวัฒนธรรมองค์กรมากขึ้นเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน CEO ต่างมองว่าค่านิยมเหล่านี้จะคงมีต่อไปเรื่อยๆ ในอนาคตอันใกล้ กล่าวคือ CEO 65% ยอมรับว่าในอีก 3 ปีข้างหน้าระดับความเชื่อใจภายในองค์กรจะมีเท่าเดิม หรือลดลงก็เป็นได้

 

CEO มากกว่า 7 ใน 10 ราย (72%) เชื่อมโยงการเป็นองค์กรที่สามารถเข้าถึงพนักงานได้เข้ากับการให้ฐานรายได้ที่สูงขึ้น องค์กรต่างๆ ทุกวันนี้แลเห็นว่าการสร้างความเชื่อใจให้กับพนักงานจะนำไปสู่ผลสำเร็จทางธุรกิจได้

 

สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลสำรวจครั้งนี้ได้จาก kpmg.com/CEOoutlook หรือติดตามผ่าน Twitter @KPMG และ แฮชแทก #CEOoutlook

 

English Version:

Global CEOs remain optimistic over the next 3 years and look to be the disruptor

เกี่ยวกับงานสำรวจ KPMG’s 2017 CEO Outlook

การสำรวจครั้งนี้ครอบคลุม CEO 1,261 รายจาก 10 ประเทศ (ออสเตรเลีย, จีน, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, อินเดีย, อิตาลี, ญี่ปุ่น, สเปน, สหราชอานาจักร และสหรัฐอเมริกา) ใน 11 อุตสาหกรรมหลัก (ยานยนต์, การธนาคาร, โครงสร้างพื้นฐาน, ประกันภัย, การจัดการการลงทุน, ชีววิทยาศาสตร์, อุตสาหกรรมการผลิต, ค้าปลีกและตลาดผู้บริโภค, เทคโนโลยี, พลังงาน และโทรคมนาคม) ซึ่ง 1 ใน 3 ขององค์กรเหล่านี้มีรายได้มากกว่า $10,000ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี และไม่มีองค์กรใดที่มีรายได้ต่ำกว่า $500ล้านเหรียญสหรัฐ การสำรวจครั้งนี้ถูกจัดขึ้นระหว่างวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ถึง 11 เมษายน พ.ศ. 2560 *ตัวเลขที่นำมาเสนอในผลการวิจัยมีการปัดเศษ

เกี่ยวกับ เคพีเอ็มจี ประเทศไทย

เคพีเอ็มจี ประเทศไทย เป็นสมาชิกของ เคพีเอ็มจี อินเตอร์เนชั่นแนล ที่มีเครือข่ายทั่วโลก ซึ่งให้บริการด้านตรวจสอบบัญชี ภาษีและกฎหมาย และให้คำปรึกษาทางธุรกิจ ปัจจุบันมีพนักงานมากกว่า 1,500 คน

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ:

พลอย พยัฆวิเชียร
เบอร์โทรศัพท์: 02- 677-2034
อีเมล์: ploi@kpmg.co.th  

Some or all of the services described herein may not be permissible for KPMG audit clients and their affiliates or related entities.

 

© 2024 KPMG Phoomchai Holdings Co., Ltd., a Thai limited liability company and a member firm of the KPMG global organization of independent member firms affiliated with KPMG International Limited, a private English company limited by guarantee. All rights reserved.

For more detail about the structure of the KPMG global organization please visit https://kpmg.com/governance.

Connect with us