รูปแบบการค้าการลงทุนในประเทศเมียนมาปี 2561 (ยุค 4.0)

Thailand Tax Updates - 24 December 2018

โดย:
ยุทธพงศ์ สุนทรินคะ, กรรมการบริหาร (ASEAN+)
รัตนวดี ศรีสว่างรัตน์ (ผู้จัดการด้านภาษีและกฎหมาย)

บรรยากาศทางการค้าและการลงทุนในประเทศสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา จากทั้งนักลงทุนต่างชาติ (foreign direct investment) และนักลงทุนชาวเมียนมา มีแนวโน้มชะลอตัวลง ด้วยเหตุปัจจัยหลักอยู่สี่ประการ คือ

  1. กรณีปัญหาชาวโรฮิงจา ที่เป็นประเด็นซึ่งอาจนำไปสู่การต่อต้านจากหลายประเทศ
  2. กรณีสกุลเงินจ๊าต (Kyat) ที่อ่อนค่าลงอย่างมาก (ประมาณ 30% - 40% ในช่วงระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา)
  3. การเรียกเก็บภาษีอย่างเข้มงวดจากเงินลงทุนที่ชาวเมียนมาซึ่งไม่สามารถพิสูจน์แหล่งที่มาของเงินลงทุนดังกล่าวได้ ทำให้นักลงทุนไม่กล้านำเงินที่มีอยู่ออกมาลงทุน
  4. แนวโน้มที่อเมริกาและสหภาพยุโรปอาจเพิกถอนสิทธิประโยชน์ภายใต้ Generalized System of Preferences (GSP) และ Everything But Arm (EBA) เช่น การยกเว้นการเก็บภาษีนำเข้าและยกเลิกการกำหนดโควตานำเข้าให้แก่สินค้านำเข้า อันเนื่องจากปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนในเมียนมา 
รูปแบบการค้าการลงทุนในประเทศเมียนมาปี 2561 (ยุค 4.0)

อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2561 ที่ผ่านมา รัฐบาลเมียนมาได้กำหนดนโยบายส่งเสริมการลงทุนเพื่อให้ประเทศเป็นตลาดเกิดใหม่ (Emerging market) โดยผ่อนคลายกฎระเบียบทางด้านการลงทุน ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงกฎหมายบริษัท กฎหมายภาษี และกฎเกณฑ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเพิ่มบรรยากาศในการลงทุน และดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติมากขึ้น

ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติควรเข้าใจรูปแบบในการเข้าไปลงทุนซึ่งสามารถดำเนินการได้หลายรูปแบบ โดยแบ่งตามประเภทธุรกิจหลักๆ ได้ดังต่อไปนี้

  1. ธุรกิจการให้บริการ
    นักลงทุนต่างชาติสามารถเข้าไปลงทุนได้ในรูปของสำนักงานสาขาของบริษัทต่างชาติ หรือตั้งบริษัทขึ้นใหม่ในประเทศเมียนมาเพื่อดำเนินธุรกิจการให้บริการต่างๆ เช่น บริการการวางระบบการบริหาร ระบบงานบุคคลากร สปา ภัตตาคาร ร้านอาหาร เป็นต้น ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติสามารถดำเนินการได้เองโดยไม่ต้องมีผู้ร่วมลงทุนที่เป็นชาวเมียนมาแต่อย่างใด จึงถือเป็นโอกาสที่ดีมากสำหรับการลงทุนในธุรกิจในธุรกิจประเภทนี้
    อย่างไรก็ดี นักลงทุนต่างชาติอาจเลือกที่จะร่วมทุนกับชาวเมียนมา (Joint Venture: JV) เพื่ออาศัยควานรู้ความชำนาญ อีกทั้งรู้จักความต้องการของคนในท้องถิ่น แนวทางปฏิบัติ ช่องทางการตลาด และการขาย มาเสริมให้สามารถประกอบธุรกิจในประเทศเมียนมาประสบความสำเร็จได้ดียิ่งขึ้น

  2. ธุรกิจค้าปลีก-ค้าส่งปัจจุบัน
    นักลงทุนต่างชาติสามารถประกอบธุรกิจค้าปลีก-ค้าส่งในสินค้าหลากหลายประเภท อาทิเช่น สินค้าอุปโภคบริโภค เครื่องเขียน อุปกรณ์กีฬา สินค้าอิเล็คทรอนิคส์ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ เป็นต้น ในประเทศเมียนมาได้แล้ว (ก่อนวันที่ 1 สิงหาคม 2561 ยังไม่สามารถทำได้) โดยจัดตั้งบริษัทขึ้นใหม่ซึ่งนักลงทุนต่างชาติสามารถถือครองเป็นเจ้าของทั้งหมด (100% foreign owned company) หรือร่วมทุนกับนักลงทุนชาวเมียนมา (JV company) ภายใต้เงื่อนไขเกี่ยวกับเงินลงทุนขั้นต่ำดังต่อไปนี้

    รูปแบบธุรกิจ

    เงินลงทุนขั้นต่ำ (ดอลลาร์)

    ธุรกิจค้าส่ง

    ธุรกิจค้าปลีก

    ·  บริษัทที่มีนักลงทุนต่างชาติเป็นเจ้าของทั้งหมด

    ·  บริษัทร่วมทุนโดยมีนักลงทุนชาวเมียนมาเป็นเจ้าของน้อยกว่าร้อยละ 20*

    5,000,000

    3,000,000

    บริษัทร่วมทุนโดยมีนักลงทุนชาวเมียนมาเป็นเจ้าของตั้งแต่ร้อยละ 20 ขึ้นไป*

    2,000,000

    700,000


    หมายเหตุ: * ไม่รวมการให้เช่าที่ดิน

  3. ธุรกิจการผลิต
    นักลงทุนต่างชาติสามารถประกอบธุรกิจผลิตสินค้าประเภทอุปโภค-บริโภค และสินค้าต่างๆ เพื่อจำหน่ายภายในประเทศ หรือเพื่อการส่งออกนอกประเทศเมียนมาได้ และอาจได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีการนำเข้าวัตถุดิบ เครื่องจักร เป็นต้น ภายใต้เงื่อนไขและข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องอีกด้วย

ทั้งนี้ บริษัทที่มีต่างชาติเป็นผู้ถือหุ้นไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมมากกว่าร้อยละ 35 จะถือเป็น ‘บริษัทต่างชาติ’ ส่งผลให้อยู่ภายใต้กฎหมายการลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศ (Myanmar Investment Law 2016) และการดูแลของคณะกรรมการลงทุน (Myanmar Investment Commission: MIC) ซึ่งอาจต้องมีการขอใบอนุญาต MIC และเงื่อนไขเงินลงทุนขั้นต่ำตามประเภทธุรกิจที่กำหนดไว้เป็นรายกรณี

จากที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ประเทศเพื่อนบ้านอย่างเมียนมาที่มีประชากรกว่า 56 ล้านคน และเปิดประเทศมาได้ประมาณ 6 ปี จึงเป็นที่ได้รับความสนใจแก่นักลงทุนแม้จะยังอยู่ภายใต้วิกฤตบางประการ ซึ่งประเด็นดังกล่าวก็เป็นเหตุการณ์เพียงชั่วคราวที่นักลงทุนมักประสบอยู่แล้วในการลงทุนในตลาดเกิดใหม่ในประเทศอื่นๆ เช่นกัน  และเนื่องจากประเทศเมียนมายังมีการเปลี่ยนแปลงทั้งทางด้านกฎหมาย นโยบาย และเหตุการณ์ภายในและภายนอกที่อาจส่งผลกระทบทางสภาพทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนจึงควรติดตามเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด เพื่อทำความเข้าใจและสามารถวางแผนการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์สูงสุดแก่กิจการในสถานการณ์ปัจจุบัน 

Connect with us